นิสัยความมักง่ายและเห็นแก่ตัวของคนไทย ทำไมเราถึงแก้กันไม่ได้

นิสัยความมักง่ายและเห็นแก่ตัวของคนไทย ทำไมเราถึงแก้กันไม่ได้

ความมักง่ายและเห็นแก่ตัวของคนไทยนั้นเจอได้ทุกที่ มีทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะรวย จน มีหรือไม่มีการศึกษา หน้าที่การงานทุกระดับชั้นมันมีอยู่ทุกที่ ผมขอยกตัวอย่างที่ยังไงเราก็ต้องเจอในชีวิตประจำวัน

1.การแซงคิว

ผมเจอหลายครั้ง ทุกครั้งที่เจอก็ยืนเฉยๆ แบบงงๆ ว่าผมต่อคิวอยู่ทำไมต้องมาแซง คนประเภทนี้คือยังไง ถ้ารอคิวไม่ได้ก็อย่ามาทำให้ตัวเองดูแย่เลย อยู่บ้านแล้วสั่งออนไลน์แทนครับ นี่มันปัญหาระดับชาติ คนทะเลาะกันเพราะเหตุนี้ก็มีเยอะแยะ คุณไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้คนเดียวที่คิดจะทำอะไรก็ได้ คนไทยต้องมีคนมาคอยชี้นิ้วสั่ง มีคนมาคอยบังคับถึงจำทำตามกฎระเบียบ อยู่ในสังคมมีกฎ มีระเบียบ ให้ปฏิบัติตาม เพราะเราจะได้ไม่เหมือนสัตว์ป่า

2.การขับรถ

ผมว่าทุกคนต้องเคยเจอ ไม่ว่าจะขับรถเองหรือนั่งรถโดยสารสาธารณะ 80% รถบนท้องถนนขับรถไม่มีการเคารพกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น เอาง่ายๆ มีสักกี่คนที่คาดเข็มขัดนิรภัยตอนขับรถ จะมีสักกี่คนที่ใส่หมวกกันน็อคตอนขับมอเตอร์ไซค์ แบบว่าทำเพราะป้องกันอันตรายไม่ใช่ทำเพราะกลัวตำรวจจับ ขับรถเร็วเกินจากกฎหมายกำหนด ไม่มีความรู้เรืองสัญญาณจราจร เส้นต่างๆ บางครั้งรู้แต่ยังทำ เช่น เส้นขาวแดงคือห้ามจอด แต่ไปดูเหอะมีจอดทุกที่ ผมว่าตำรวจมาตามจับ หรือออกใบสั่งไม่ไหวหรอกเพราะวันๆ มีคนทำผิดกฎหมายกันไม่รู้กี่คน กี่ครั้ง รถบางคันดันแปลงแบบผิดกฎหมาย จอดรถในที่ห้ามจอดและอ้างว่าจอดแปปเดียว อีกอย่างคือที่ผมค่อนข้างอินส่วนตัว ไม่จอดหรือชะลอความเร็วเวลามีคนเดินข้ามทางม้าลาย สิ่งเหล่านี้มันเหมือนส่งต่อรุ่นต่อรุ่น คนอื่นยังทำได้ทำไมเราทำไม่ได้ หรือเราทำได้เพราะมีอำนาจใหญ่โต เราจะแก้ไขมันยังไง ผมคิดว่าไม่ยาก แต่ต้องใช้เวลา เราต้องสอนคนตั้งแต่ยังเด็กเพื่อให้ซึมซับว่าสิ่งไหนถูก สิ่งไหนผิด สิ่งไหนควรทำ ไม่ควรทำ การสอนคือสอนเป็นวิชาในโรงเรียนเลย เรื่องพวกนี้จำเป็นอย่างมากกับการใช้ชีวิต ควรเน้นก่อนอย่างอื่นมากกว่า และมีอีกหลายวิชาที่ควรสอนตั้งแต่ยังเด็ก คงเอาไว้บทความอื่น ถ้าทำได้คนประเทศเราจะมีคุณภาพกว่าเดิมเยอะ ไปไหนมาไหนเห็นแล้วชื่นใจ ไม่ว่าจะเรื่องต่อคิว หรือการขับรถบนท้องถนน


3.จอดรถขวางทาง

เห็นอยู่ประจำเรื่องพวกนี้ เพราะเรามักง่าย ยิ่งไปขวางทางเข้าออกบ้านคนอื่นด้วยนี่ จิตใจหรือสมองไม่น่าจะดี เป็นคนมักง่ายและชอบเอาเปรียบคนอื่นมากๆ หาข้ออ้างสารพัดเพื่อให้ตัวเองดูดี คุณมีปัญญาซื้อรถแต่ไม่มีปัญญาหาที่จอดรถ ก่อนซื้อคิดเยอะๆ ว่าซื้อมาแล้วมันจะสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นหรือป่าวหรือแค่อยากอวดอยากโชว์ว่าเรามีเงิน การกระทำแบบนี้ส่งผลในระยะยาวมากๆ เจ้าของบ้านที่คุณไปจอดรถขวางเค้าหรือขวางทางเข้าออกบ้านเค้าอาจจะไม่ว่า หรือไม่พูดอะไร ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะยินดีให้คุณจอดขวางทาง วันดีคืนดีเค้าหมดความอดทนอาจจะเดินมายิงคุณโดยที่คนอื่นคิดว่า ไม่มีสาเหตุในการทำแบบนั้น คุณรู้ได้ยังไง ผมเห็นข่าวเยอะแยะมีให้อ่านให้ดูบ่อยๆ เอาใจเค้ามาใส่ใจเรา เกรงใจ ดูตามความเหมาะสม เคารพสิทธิ์ของคนอื่นด้วย ถ้าไม่มีที่จอดรถก็หาบ้านใหม่ครับ หรือยังไม่ต้องซื้อ หรือซื้อรถเล็กๆ ที่มันจอดบ้านตัวเองได้โดยไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน และอย่าหาข้ออ้างแบบไร้สาระ

4.เสียงดังรบกวนคนอื่น

คนเปิดไม่รู้ว่ามันดังจนทำให้คนอื่นเดือดร้อน เพราะคิดว่า...มันไม่ดัง อืม... ผมเจอบ่อยเช่นกัน และคิดว่าหลายคนก็น่าจะเจอ คนเราความชอบ ความรู้สึก ความคิด ไม่เหมือนกันฉะนั้นคุณอย่าสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น คุณต้องรู้อยู่เสมอว่าแบบไหนคือดัง ไม่ต้องมีคนมาคอยบอกหรอกว่า ขนาดนี้คือดังนะเบาหน่อย โตๆ กันแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้เราก็ต้องมาคอยบอกกันตลอดเลยสิ น่าเบื่อเนอะ ไม่มีความเกรงใจ ไม่มีจิตสำนึก มักง่าย สันดานชอบเอาเปรียบคนอื่น เสียงดังรบกวนนั้นมีหลายอย่างมาก เช่น เปิดเพลง แบบนี้เจอบ่อย เสียงรถยนต์ เสียงมอเตอร์ไซค์ เสียงสัตว์เลี้ยง เสียงตะโกนคุยกัน เสียงเจาะผนังหรืออะไรก็ตามที่มันดังมากและนานจนน่ารำคาญ เรื่องพวกนี้ทุกคนน่าจะรู้นะ แต่ถึงรู้ก็แค่มึนๆ ไป ก็เหมือนเรื่องจอดรถขวางทาง คนที่เค้าทนไม่ไหวเค้าอาจจะเดินมายิงเอา จะได้จบ คนที่ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้แล้วบอกว่าค่อยๆ คุยกันหรือไม่น่าทำเสียอนาคต คุณไม่รู้หรอกว่าคนพวกนี้พูดดีด้วยไม่ได้เพราะยิ่งบอกยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ไม่สนใจ ไม่เกรงกลัว ก็ไม่รู้ใครสั่งใครสอนมา คนที่คิดได้บางกลุ่มก็จะหาอำนาจเพื่อไม่ให้มีใครมากล้าทำแบบนี้ เพราะถ้าทำก็โดนลูกตะกั่ว สรุปสงสัยคนไทยชอบแบบนี้

แนวทางแก้ไข

สิ่งที่ผมคิดออก อย่างแรกคือออกกฎหมายมาเลยครับใครทำผิดปรับไปเลย โดยมีแต้มหรือจำนวนครั้งในการปรับ หากถึงกำหนดก็ติดคุกครับ จัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาหากมีคนแจ้งมาบ่อยๆ ก็ไปดูสถานที่จริง สังเกตว่ามันเกิดขึ้นจริงมั้ย แบบไม่ให้รู้ตัว เมื่อทำผิดจริงก็จับปรับตามกฎหมาย โดนที่ผู้แจ้งไม่จำเป็นจะต้องระบุตัวตน

อย่างที่สองคือปลูกฝังนิสัยตั้งแต่เด็กโดยกำหนดเป็นวิชาเรียนไปเลย ทุกระดับชั้นจนถึงระดับมหาวิทยาลัย รวมถึงกฎหมายพื้นฐานด้วย อันนี้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากที่เด็กทุกคนจะต้องศึกษาเล่าเรียน เพราะเค้าต้องนำมาใช้ในชิวิตประจำวัน โตขึ้นจะได้เป็นคนมีคุณภาพของประเทศ ประเทศก็จะพัฒนาไปเองโดยอัตโนมัติ

ความคิดเห็น

  1. ไม่ระบุชื่อ31 มีนาคม 2565 เวลา 05:34

    ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น